ที่นอน เป็นที่ประจำที่ทุกคนใช้นอนหลับพักผ่อนในทุกคืน จึงต้องหมั่นดูแลทำความสะอาดอยู่เสมอ เพราะที่นอนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้การนอนหลับมีประสิทธิภาพ และช่วยให้สุขภาพดีขึ้น หากนอนในที่นอนสกปรกก็อาจทำให้สุขภาพย่ำแย่ลงโดยไม่รู้ตัว บทความนี้จึงมาอธิบายสาเหตุที่ทำให้ที่นอนสกปรก เป็นคราบเหลือง พร้อมแนะนำวิธีทำความสะอาดที่นอนด้วยอุปกรณ์ หรือวิธีการต่างๆ เพื่อให้ที่นอนกลับมาสะอาดเหมือนใหม่ และไม่เกิดคราบ หรือรอยเปื้อน รวมถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์บนที่นอน
รู้สาเหตุที่นอนสกปรก เป็นคราบเหลือง ก่อนลุยทำความสะอาดให้หมดจด
หากมองเห็นสิ่งสกปรกบนที่นอน ก็สามารถทำความสะอาดได้ง่ายๆ แต่มักจะมีสิ่งสกปรกที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งหลายคนอาจไม่รู้ตัวแล้วปล่อยที่นอนทิ้งไว้โดยไม่ได้ทำความสะอาดเป็นประจำ หากปล่อยทิ้งไว้นานวันเข้า สิ่งสกปรกเหล่านั้นก็จะสะสมจนเกิดเป็นคราบสกปรก ที่นอนกลายเป็นคราบเหลืองได้ ซึ่งต้นเหตุที่ทำให้ที่นอนสกปรก ได้แก่
- คราบจากฝุ่น และไรฝุ่น
- คราบจากเชื้อโรค และเชื้อรา
- คราบจากเศษอาหาร
- คราบจากประจำเดือน ปัสสาวะบนที่นอน
- คราบจากเหงื่อไคล และน้ำลาย
- คราบจากแป้ง และสกินแคร์บำรุงผิวต่างๆ
1. การซักที่นอน
การซักที่นอน เป็นหนึ่งในวิธีทำความสะอาดที่นอนที่ได้รับความนิยม และมีประสิทธิภาพมากที่สุดวิธีหนึ่ง ด้วยเป็นการทำความสะอาดขั้นพื้นฐาน หากที่นอนมีรอยคราบเกิดขึ้นมา เชื่อว่าหลายคนก็นึกถึงการซักที่นอนเป็นอย่างแรก เพราะวิธีนี้ช่วยขจัดคราบสกปรกต่างๆ ทำให้ที่นอนกลับมาสะอาดได้อย่างหมดจด และปลอดภัย อีกทั้งในปัจจุบันมีสิ่งของ หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการซักที่นอนได้อีกด้วย เช่น สบู่ หรือน้ำยาสำหรับซักที่นอน ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบ ทั้งสูตรอ่อนโยน สูตรเอนไซม์ สูตรผสมซิตรัส เป็นต้น
2. เครื่องดูดไรฝุ่น
ปัญหาไรฝุ่นที่อยู่ตามที่นอน นอกจากจะทำให้เกิดคราบบนที่นอนแล้ว ยังก่อให้เกิดอาการคัน หรือระคายเคืองร่างกายได้ง่าย ทั้งยังทำให้มีความเสี่ยงของอาการภูมิแพ้ ดังนั้นจึงต้องทำความสะอาดที่นอนด้วยเครื่องดูดไรฝุ่น ซึ่งเป็นเครื่องที่มีกำลังดูดสูง ช่วยดูดไรฝุ่นที่มองไม่เห็น และอยู่ในชั้นลึกๆ ออกมาได้ คุณสมบัตินี้จึงเป็นความแตกต่างระหว่างเครื่องดูดไรฝุ่นกับเครื่องดูดฝุ่นทั่วไปที่ทำความสะอาดและกำจัดฝุ่นได้เท่านั้น การใช้เครื่องดูดไรฝุ่นจึงมีข้อดี ดังนี้
- กำจัด และดูดไรฝุ่นอย่างจริงจัง
- มีกล่องเก็บฝุ่นที่แน่นหนา
- มีตัวกรองที่ป้องกันไรฝุ่นฟุ้งกระจายกลับออกมา
- ทำความสะอาดที่นอนได้เร็ว ตรงจุด และเข้าถึงทุกซอกทุกมุม
3. นำที่นอนไปตากแดด
นอกจากปัญหาที่นอนสกปรกและมีคราบเหลืองแล้ว หากที่นอนมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นอับชื้น ก็ถือว่าเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน ซึ่งปัญหากลิ่นอับชื้นสามารถแก้ไขได้ด้วยการนำที่นอนไปตากแดด เนื่องจากแสงแดดมี UV ที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อโรคต่างๆ รวมถึงลดความชื้นในที่นอน ซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นอับชื้น โดยการตากแดดให้ได้ผลดีที่สุด ควรตากตอนที่มีอุณหภูมิ 55 - 60 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 20 นาที หรือตากในตอนเวลาบ่าย 2 ซึ่งเป็นช่วงที่แดดแรงมากที่สุดของวัน
4. เบกกิ้งโซดา
การใช้เบกกิ้งโซดาทำความสะอาดที่นอน มีข้อดีคือ สามารถดูดซึมสิ่งสกปรกและความชื้น ลดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ รวมทั้งสามารถกำจัดไรฝุ่นได้ นอกจากนี้เบกกิ้งโซดายังหาซื้อได้ง่าย มีราคาถูก และไม่มีสารพิษอันตรายอีกด้วย การใช้เบกกิ้งโซดาจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการทำความสะอาดที่นอน โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- ผสมเบกกิ้งโซดา กับเกลือ และน้ำ 1 ถ้วย
- เทส่วนผสมลงบนรอยคราบ
- ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
- เช็ดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ
- ดูดฝุ่นที่นอนอีกครั้ง
หากอยากดับกลิ่นบนที่นอนก็สามารถใช้วิธีนี้
- ผสมเบกกิ้งโซดา กับน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบ
- นำไปโรยบนที่นอน
- ใช้แปรงหัวอ่อนนุ่มขัดเบาๆ
- ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที
- ดูดทำความสะอาดผงเบกกิ้งโซดาออกอีกครั้ง
5. แปรงทำความสะอาดที่นอน
หากที่นอนเป็นคราบเหลือง หรือมีรอยคราบสกปรก เป็นวงหรือเป็นจุดๆ การใช้แปรงขัดเพื่อทำความสะอาดรอยคราบเหล่านั้นบนที่นอน จึงเป็นวิธีที่ดีในการทำความสะอาดเฉพาะจุด เพราะการนำที่นอนทั้งผืนไปซักอาจทำได้ยาก โดยแปรงที่ใช้ขัดทำความสะอาดที่นอน จะเป็นแปรงขัดเตียงโดยเฉพาะ หรือนำแปรงสีฟันมาใช้ก็ได้ ซึ่งการใช้แปรงขัดก็มีสิ่งของที่สามารถใช้ร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดให้ดียิ่งขึ้น เช่น ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เบกกิ้งโซดา น้ำยาล้างจานแบบใส น้ำส้มสายชูกลั่นขาว เป็นต้น
6. ทิชชู่หรือผ้าทำความสะอาด
หากที่นอนมีคราบน้ำหก หรือคราบเลอะประจำเดือน การใช้ทิชชู่ หรือผ้าทำความสะอาดจะช่วยแก้ไขปัญหารอยเปื้อนที่เลอะเฉพาะจุดได้ โดยการใช้น้ำแข็งก้อนถูวนรอบบริเวณรอยคราบจนชุ่ม จากนั้นใช้ทิชชู่ หรือผ้าทำความสะอาดซับลงไป เพื่อดูดซับรอยคราบเหล่านั้นออกให้มากที่สุด แนะนำว่าใช้เพียงการซับเท่านั้น อย่าถูคราบ เพราะจะทำให้รอยคราบซึมลึกเข้าไปในที่นอน ทั้งนี้การใช้น้ำสะอาด หรือเบกกิ้งโซดา รวมถึงสิ่งของที่มีคุณสมบัติขจัดรอยคราบต่างๆ จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำความสะอาดที่นอนได้มากขึ้น
7. น้ำส้มสายชู
น้ำส้มสายชู เป็นไอเทมใกล้ตัวที่ทุกคนส่วนใหญ่มักมีติดบ้านไว้ นอกจากใช้เป็นเครื่องปรุง หรือส่วนผสมในการทำอาหารแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง โดยเฉพาะใช้ทำความสะอาดที่นอนได้ เนื่องจากน้ำส้มสายชูมีส่วนประกอบหลักเป็นกรดอะซิติก (Acetic acid) จึงมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรคต่างๆ มาดูขั้นตอนการใช้น้ำส้มสายชูทำความสะอาดที่นอน
- นำน้ำส้มสายชูใส่ในสเปรย์ฉีดน้ำ หรือฟ็อกกี้
- ฉีดพ่นลงบนที่นอน
- ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง
- ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดตามรอยที่ฉีด
- ทำให้แห้ง โดยใช้ไดร์เป่าผม หรือตากผึ่งไว้
8. น้ำอุ่นผสมเกลือ
เกลือ นอกจากเป็นเครื่องปรุงอาหารที่ช่วยให้รสชาติเค็มแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการทำความสะอาดที่นอนได้อีกด้วย เพราะเกลือสามารถกำจัดคราบฝังแน่น รวมถึงช่วยขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้
- ผสมน้ำอุ่น กับเกลือให้เข้ากัน
- ฉีดพ่นคราบบนที่นอนให้ชุ่ม
- ทิ้งไว้สักพัก เพื่อให้เกลือสลายคราบ
- ใช้ผ้าสะอาดเช็ดคราบออก
- สามารถใช้ผ้าขนหนูแห้ง ฟองน้ำ หรือแปรงขัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขจัดคราบเปื้อน และลดกลิ่นอับชื้น
9. แป้งเด็ก
ด้วยสภาพอากาศร้อน ส่งผลให้หลายคนมีเหงื่อออกในขณะนอนหลับ และเป็นสาเหตุทำให้ที่นอนอับชื้นง่าย แป้งเด็กจึงเป็นไอเทมประจำบ้านอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวช่วยในวิธีทำความสะอาดที่นอนได้ โดยการโรยแป้งเด็กบนที่นอน จะทำให้
- ขจัดกลิ่นอับ และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
- มีความสบายตัว ไม่เหนียวเหนอะหนะ
- เพิ่มความเย็นสดชื่นให้ผู้นอน
- ที่นอนดูสะอาดขึ้น
หากปล่อยให้ที่นอนสกปรกจะเกิดอะไรขึ้น
ที่นอน ถือเป็นหนึ่งในจุดที่คนเรามักใช้เวลาอยู่มากที่สุด ดังนั้นความสะอาดของที่นอนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หากที่นอนสกปรก เกิดคราบเหลือง หรือมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ แล้วคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่เร่งรีบทำความสะอาด จะส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่างๆ ตามมา เช่น
- การนอนหลับที่ไม่เพียงพอ
- เกิดอาการภูมิแพ้จากไรฝุ่น
- มีอาการหอบหืด
- ระบบทางเดินหายใจมีปัญหา
- เกิดสิวเห่อขึ้นบนใบหน้า
- มีอาการปวดคอ ปวดหลัง
ที่นอนสกปรก เป็นคราบเหลือง และมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ มีสาเหตุมาจากสิ่งสกปรกแปลกปลอมที่ไม่ได้รับการทำความสะอาด สะสมจนเกิดเป็นคราบต่างๆ เช่น ฝุ่น เชื้อโรค เศษอาหาร เหงื่อไคล เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดที่นอน ไม่เช่นนั้นจะส่งผลเสียต่อร่างกาย และคุณภาพการนอนหลับได้ ซึ่งมีวิธีทำความสะอาดที่นอนอยู่หลากหลาย สามารถเลือกมาใช้ได้ตามความเหมาะสม เช่น การซักที่นอน การนำที่นอนไปตากแดด การดูดไรฝุ่น การใช้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เบกกิ้งโซดา แปรงขัดที่นอน ทิชชู่ เกลือ น้ำส้มสายชู และแป้งเด็ก เป็นต้น วิธีเหล่านี้ล้วนทำให้ที่นอนกลับมาสะอาดเหมือนใหม่ มีกลิ่นหอม และช่วยยืดอายุการใช้งานที่นอนอีกด้วย