“แมว” เป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะแมวมีความน่ารัก เลี้ยงง่าย ทำให้ในปัจจุบันนิยมเลี้ยงกันมากขึ้น โดยเฉพาะการเลี้ยงแบบระบบปิด หรือการเลี้ยงแมวภายในบ้านนั่นเอง ซึ่งวิธีนี้จะมีความปลอดภัยต่อแมวมากกว่า เนื่องจากไม่ต้องเสี่ยงโดนแมวหรือสุนัขจรจัดมาทำร้าย เนื้อตัวสะอาดไม่มอมแมม รวมถึงป้องกันปัญหาที่แมวจะหนีหายออกไปจากบ้านอีกด้วย
สำหรับมือใหม่ที่กำลังคิดจะเลี้ยงแมวในบ้าน แต่ไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมพร้อมอย่างไร ในบทความนี้เราได้รวบรวมวิธีเลี้ยงแมวในบ้าน ให้แมวฉลาด ไม่ดื้อ และเลี้ยงง่ายมากขึ้น จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
เริ่มต้นเลี้ยงแมวในบ้านด้วยการเรียกชื่อให้คุ้นเคย
จุดเริ่มต้นที่สำคัญในการเลี้ยงแมวในบ้าน คือ การเรียกชื่อให้คุ้นเคย ด้วยการใช้น้ำเสียงที่น่ารัก และอบอุ่น โดยการเล่นกับลูกแมวตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 1 เดือน ทุกๆ วัน สามารถกระตุ้นพัฒนาการของลูกแมวได้ และส่งผลให้การฝึกลูกแมวจดจำชื่อตัวเองได้เร็วขึ้น เพราะถ้าหากแมวมีอายุมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งฝึกให้จดจำชื่อตัวเองได้ยากเท่านั้น ซึ่งสามารถฝึกแมวให้จำชื่อตัวเองได้ง่ายๆ ดังนี้
-
ตั้งชื่อให้เรียกง่าย
เมื่อมีแมวเป็นของตัวเองแล้ว หลายๆ คนก็อยากตั้งชื่อให้ดูน่ารัก แต่ความจริงนั้น การตั้งชื่อแมวเพียง 1-2 พยางค์ จะช่วยให้แมวจำชื่อตัวเองง่ายขึ้น และเจ้าของก็สามารถเรียกได้ง่ายๆ อีกด้วย
-
ฝึกให้จำชื่อตั้งแต่เล็ก
เจ้าของควรฝึกให้แมวจำชื่อของตัวเองตั้งแต่ยังเล็กๆ เพราะสามารถฝึกได้ง่ายกว่า และได้ผลดีกว่า ถ้าหากฝึกให้แมวจำชื่อตอนโต แมวอาจจะไม่จำ ฝึกยากกว่า หรือไม่ให้ความร่วมมือเลย
-
ให้รางวัล
เมื่อลูกแมวเริ่มจำชื่อตัวเองได้ และเดินมาหา เจ้าของควรให้ขนมเป็นรางวัล เพื่อเป็นการเรียกความสนใจจากแมว และทำให้แมวเกิดการอยากทำซ้ำเรื่อยๆ ซึ่งควรฝึกวันละ 2-3 ครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้แมวเบื่อก่อนจะจำชื่อตัวเองได้
-
หลีกเลี่ยงการใช้น้ำเสียงดุ
ถ้าหากเรียกชื่อแมวแล้ว แมวไม่เดินมาหา หรือทำท่าทีเมินใส่ เจ้าของไม่ควรใช้น้ำเสียงดุ หรือใส่อารมณ์ จนทำให้แมวเกิดอาหารกลัว และทำให้การฝึกยากขึ้น เพราะแมวจะไม่กล้าเดินเข้าหาเวลาเจ้าของเรียกชื่อ
ให้ทานอาหารเป็นเวลา
เมื่อเริ่มเลี้ยงแมวในบ้าน การให้แมวทานอาหารเป็นเวลา เป็นอีกพฤติกรรมที่ควรฝึกให้แมวเป็นอย่างมาก ซึ่งสามารถฝึกให้ทานอาหารเป็นเวลาตามช่วงวัยได้ โดยลูกแมวที่มีอายุต่ำกว่า 12 สัปดาห์ ให้ทานอาหารประมาณ 4 มื้อต่อวัน หลังจากนั้นให้ลดเหลือ 3 มื้อต่อวัน และสำหรับแมวโตเต็มวัย และแมวสูงอายุให้ทานอาหาร 2 มื้อต่อวัน โดยให้แมวทานอาหารที่มีโภชนาการเหมาะสมต่อช่วงวัย และควรให้อาหารในเวลาเดียวกันทุกครั้ง เพื่อให้มีนิสัยทานอาหาร และขับถ่ายเป็นเวลา ง่ายต่อการฝึกขับถ่ายให้เป็นที่อีกด้วย
อาหารที่เหมาะสมกับแมวแต่ละช่วงวัย
การเลือกอาหารแมวที่เหมาะสม ควรเลือกจากความต้องการทางโภชนาการของแมวแต่ละวัย เพื่อให้แมวได้รับสารอาหาร และพลังงานที่เพียงพอ ซึ่งส่งผลให้แมวมีสุขภาพดี แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย ซึ่งสามารถแบ่งเป็นแต่ละช่วงวัยได้ ดังนี้
-
ลูกแมว (แรกเกิด - 1 ปี)
อาหารสำหรับลูกแมวแรกเกิดที่สำคัญที่สุด คือ น้ำนมแม่ เพราะมีส่วนประกอบของสารภูมิคุ้มกัน ที่ช่วยเสริมสร้างให้ลูกแมวสุขภาพแข็งแรง และป้องกันเชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ร่างกายได้ และเมื่อลูกแมวเข้าสู่ช่วงหย่านม ให้เปลี่ยนจากนมเป็นอาหารสำหรับลูกแมวแรกเกิด - 1 ปีโดยเฉพาะ เพราะแมวในช่วงวัยนี้ต้องการโภชนาการ และพลังานสูงกว่าแมวช่วงวัยอื่นๆ
-
แมวโตเต็มวัย (1 - 6 ปี)
อาหารสำหรับแมวโตเต็มวัยนั้น จะเน้นไปที่อาหารที่มีโภชนาการครบถ้วน เพื่อบำรุงร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง ซึ่งอาจจะพิจารณาร่วมกับนิสัยของแมว หรือลักษณะการเลี้ยง ที่ส่งผลต่อความต้องการพลังงานที่แตกต่างกัน เพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะน้ำหนักเกินของแมว
-
แมวสูงวัย (7 ปี ขึ้นไป)
อาหารสำหรับแมวสูงวัย หรือมีอายุ 7 ปีขึ้นไป เป็นช่วงวัยที่มักจะมีพฤติกรรมเชื่องช้า หรืออาจะมีความผิดปกติจากโรค หรือความเสื่อมจากอวัยวะต่างๆ จึงควรทานอาหารที่มีโภชนาการครบถ้วน ย่อยง่าย และเหมาะสมกับโรค หรือความผิดปกติของแมวแต่ละตัว
ฝึกขับถ่ายให้เป็นที่
การฝึกแมวให้ขับถ่ายเป็นที่ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการเลี้ยงแมวในบ้าน เพราะถ้าหากเจ้าของไม่ยอมฝึก และปล่อยให้แมวขับถ่ายไม่เป็นที่ อาจมีปัญหาเรื่องความสะอาดและกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในบ้านได้
โดยธรรมชาติของแมวแล้ว พวกเขาเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างรักความสะอาด และดูแลตัวเองหลังจากขับถ่ายได้ดีระดับหนึ่งอยู่แล้ว (หลังขับถ่ายแล้วจะกลบทรายปิดไว้) ซึ่งสิ่งที่เจ้าของแมวควรทำนั้นเพียงแค่ทำให้ชินว่าควรต้องขับถ่ายที่ตรงไหน พวกเขาก็จะสามารถจดจำ และขับถ่ายได้อย่างถูกที่ถูกทาง
โดยอุปกรณ์และวิธีการฝึกแมวเพื่อสอนให้ขับถ่ายเป็นที่เป็นทางนั้น มีด้วยกันดังนี้
อุปกรณ์สำหรับขับถ่าย
อุปกรณ์สำหรับฝึกแมวให้ขับถ่ายเป็นที่ เป็นสิ่งที่หลายๆ คนอาจจะคิดว่าใช้แบบไหนก็ได้ ขอแค่ให้แมวขับถ่ายได้ก็พอ แต่ความเป็นจริงนั้น การเลือกอุปกรณ์สำหรับขับถ่ายสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากเลือกไม่ดี แมวอาจจะไม่เข้ามาขับถ่าย และอาจทำให้ฝึกยากกว่าเดิม จึงควรเลือกอุปกรณ์สำหรับขับถ่ายให้เหมาะสมกับแมวได้ ดังนี้
-
กระบะทราย
การเลือกกระบะทราย ควรเลือกให้มีขนาดใหญ่กว่าตัวของแมว เพราะถ้าหากซื้อขนาดเล็กมาใช้ อาจจต้องเปลี่ยนใหม่เวลาที่แมวโตขึ้น และแมวจะต้องทำความคุ้นเคยกับกระบะทรายใหม่อีกด้วย ดังนั้นจึงควรซื้อกระบะทรายแมวที่มีขนาดใหญ่เพียงพอต่อการใช้งานของแมว และเผื่อตอนแมวโตเต็มวัยด้วย
-
ทรายแมว
ทรายแมวมีหลายประเภทให้เลือกใช้ อย่างเช่น ทรายเบนโทไนท์ ที่เป็นประเภทที่แมวชอบที่สุด เก็บกลิ่น และมีราคาไม่แพง ทรายคริสตัล ที่มีคุณสมบัติเก็บกลิ่นได้ดี ฝุ่นน้อย และราคาประหยัด หรือวัสดุจากธรรมชาติ ที่สามารถทิ้งชักโครกได้ และกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งแต่ละแบบจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ดังนั้นจึงควรเลือกให้เหมาะสมกับแมวของตนเองมากที่สุด
-
ที่ตักอึ
ที่ตักอึใช้สำหรับตักสิ่งปฏิกูลในกระบะทราย หลังจากแมวขับถ่ายแล้ว จึงเป็นอุปกรณ์สำคัญต่อการทำความสะอาดกระบะทรายเป็นอย่างมาก ดังนั้น เจ้าของแมวสามารถเลือกใช้ได้ตามความสะดวก และเหมาะสมของตนเองได้
-
ผ้าปูรอง
อุปกรณ์เสริมที่ช่วยให้ทำความสะอาดง่ายขึ้น คือ ผ้าปูรอง ที่ใช้สำหรับรองใต้กระบะทราย และบริเวณรอบๆ เพื่อเป็นการป้องกันทรายเลอะเทอะด้านนอกเวลาแมวใช้ทรายกลบสิ่งปฏิกูลของตนเอง
วิธีฝึกแมวให้ขับถ่ายเป็นที่
หลังจากเตรียมอุปกรณ์สำหรับขับถ่ายแล้ว ต่อไปคือวิธีการฝึกแมวให้ขับถ่ายให้เป็นที่ โดยสามารถเริ่มฝึกได้ด้วยวิธี ดังนี้
1. สอนให้รู้จักและคุ้นเคยกับกระบะทราย
เริ่มจากการอุ้มแมวลงในกระบะทราย เพื่อให้แมวคุ้นเคยกลิ่น และทรายแมว โดยทำซ้ำๆ วันละ 2 เวลา คือ หลังจากแมวตื่นนอน และหลังจากทานอาหาร ซึ่งจะช่วยให้แมวจำได้ว่าจะต้องมาขับถ่ายที่กระบะทราย และเมื่อแมวเริ่มจำได้ จนขับถ่ายเป็นที่เป็นทาง ควรชม และลูบหัวแมวอย่างอ่อนโยน
2. วางกระบะทรายอยู่ในมุมสงบ
ควรวางกระบะทรายอยู่ในมุมที่เงียบ สงบ และไม่มีคนพลุกพล่าน เพราะแมวนั้นค่อนข้างหวงความเป็นส่วนตัวเป็นอย่างมาก ถ้าหากแมวโดยรบกวนระหว่างขับถ่าย หรือมีคนคอยมองอยู่ อาจทำให้แมวเกิดความเครียด และไม่ขับถ่ายในกระบะทรายได้
3. รักษาความสะอาดกระบะทราย
การทำความสะอาดกระบะทรายแมว เป็นอีก 1 ขั้นตอนที่ช่วยให้แมวขับถ่ายเป็นที่ได้ ซึ่งควรใช้ที่ตักอึตักสิ่งปฏิกูลออกจากกระบะทรายทุกวัน และควรล้างกระบะทราย พร้อมเปลี่ยนทรายแมวทุกๆ 1 สัปดาห์ เพราะแมวมีนิสัยรักความสะอาดเป็นอย่างมาก ถ้าหากกระบะทรายเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลอาจทำให้แมวเปลี่ยนที่ขับถ่ายได้
ฝึกแมวให้อาบน้ำ
การเลี้ยงแมวในบ้านทำให้การฝึกแมวอาบน้ำเป็นเรื่องสำคัญ โดยเจ้าของสามารถฝึกแมวอาบน้ำได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือนขึ้นไป โดยสามารถฝึกได้โดยการอาบน้ำสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้แมวเกิดความคุ้นเคยกับการอาบน้ำ แล้วค่อยปรับความถี่ในการอาบน้ำเป็นทุกๆ 1-3 เดือน แต่ปกติแล้วแมวมักทำความสะอาดตนเองอยู่เสมอ ถ้าหากแมวไม่ได้สกปรก หรือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอาบน้ำจริงๆ สามารถอาบน้ำแค่ปีละ 1-2 ครั้งก็ได้
อุปกรณ์สำหรับอาบน้ำ
-
แชมพูอาบน้ำสำหรับแมว
ควรเลือกใช้แชมพูอาบน้ำสำหรับแมวโดยเฉพาะ และไม่ควรใช้แชมพูของคน หรือแชมพูของสุนัขเด็ดขาด เพราะผิวหนังของแมวมีค่า PH ต่างกัน ซึ่งสามารถทำให้ผิวหนังของแมวอ่อนแอ แห้งกร้าน และอาจเป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนังได้
-
ถุงอาบน้ำ
การใช้ถุงอาบน้ำ สามารถช่วยให้อาบน้ำแมวได้ง่ายขึ้น อาจจะไม่สะอาดเท่ากับการถูที่ตัวแมวโดยตรง แต่สามารถช่วยป้องกันการถูกแมวข่วน หรือดิ้นระหว่างอาบน้ำได้
-
อ่างอาบน้ำ
เจ้าของควรเตรียมน้ำใส่ในอ่างอาบน้ำแมวให้เรียบร้อย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเปิดน้ำระหว่างที่อาบน้ำให้แมว เพราะแมวบางตัวไม่ชอบเสียงก๊อกน้ำ และอาจกระโดดหนีได้ แต่ถ้าหากใช้สายยาง หรือฝักบัว ไม่ควรฉีดน้ำโดนผิวหนังแมวโดยตรง เพราะแมวอาจเจ็บผิวได้
-
ผ้าเช็ดตัวสำหรับแมว
เจ้าของควรเตรียมผ้าเช็ดตัวไว้ตั้งแต่ก่อนทำการอาบน้ำ และควรเตรียมไว้ประมาณ 2-3 ผืน เพื่อเอาไว้ห่อตัว และเช็ดตัวแมวให้หมาด หลังจากนั้นควรเป่าขนให้แห้งสนิท เพื่อป้องกันการอับชื้น
-
หวีแปรงขน
หวีแปรงขนใช้สำหรับแปรงขนแมวที่ติดเป็นก้อน เพื่อให้ขนคลาย และเป่าให้แห้งได้ง่ายขึ้น โดยเลือกแปรงให้เหมาะกับขนแมว เช่น แปรงขนหมู ที่เหมาะกับสัตว์ขนสั้น เป็นต้น
วิธีฝึกแมวอาบน้ำ
หลังจากเตรียมอุปกรณ์สำหรับอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ต่อไปคือวิธีการฝึกอาบน้ำแมวอย่างอ่อนโยน เพื่อไม่ให้แมวกลัวการอาบน้ำตั้งแต่ครั้งแรก สามารถฝึกได้ตามวิธี ดังนี้
1. แปรงขนแมว
ก่อนทำการอาบน้ำ ต้องเริ่มแปรงขนแมวที่พันกันเป็นก้อนให้คลายก่อน เพื่อให้ง่ายต่อการอาบน้ำ และสามารถทำความสะอาดผิว และขนแมวได้อย่างทั่วถึง
2. ผสมแชมพูกับน้ำ
ควรทำการผสมแชมพูกับน้ำก่อน และไม่ควรใส่แชมพูลงบนตัวแมวโดยตรง เพราะแชมพูอาจทำความสะอาดไม่ทั่วถึง และบริเวณที่บีบลงไปมีแชมพูเข้มข้น ทำให้ล้างออกยากมากขึ้น
3. จับแมวลงอ่างอาบน้ำ
เริ่มจากการค่อยๆ จับแมวลงอ่างอาบน้ำ ด้วยการใช้เท้าแตะน้ำก่อน เพื่อไม่ให้แมวมีอาการกลัว หลังจากนั้นค่อยๆ วักน้ำราดบนตัวแมวให้เปียกทั่วตัว ถ้าหากแมวดิ้นให้ใช้ถุงอาบน้ำช่วย แต่ถ้าหากแมวขู่ หรือไม่ยอมให้อาบ ให้หยุดอาบน้ำไปก่อน เพราะอาจทำให้แมวกลัวจนไม่สามารถจับมาอาบน้ำได้อีกครั้ง
4. ล้างหน้าแมวด้วยน้ำเปล่า
ห้ามใช้น้ำราด หรือวักน้ำใส่หน้าแมวเพื่อล้างหน้าเด็ดขาด เพราะอาจเข้าตา และจมูกแมวได้ แต่ให้ใช้มือที่เปียกค่อยๆ ลูบหน้าแมวไปตามแนวขน หรือใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดหลังจากอาบน้ำ
5. เช็ดตัวแมว
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ควรเช็ดตัวแมวให้หมาดทันที และเป่าขนให้แห้งสนิท โดยหลีกเลี่ยงการใช้ไอร้อนจากไดร์เป่าผม และอย่าลืมเช็ดขี้ตา คราบดำที่จมูก และใบหูแมวด้วย
ฝึกไม่ให้ข่วนเฟอร์นิเจอร์
อีกปัญหาของการเลี้ยงแมวในบ้าน คือ แมวข่วนเฟอร์นิเจอร์ เกิดจากนิสัยชอบเกา หรือชอบฝนเล็บของแมว และมักจะมองหาสิ่งต่างๆ ที่สามารถเป็นฐานในการฝนเล็บได้ เช่น โซฟา ขาโต๊ะ ขาตู้ หรือเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ภายในบ้าน และเพื่อป้องกันเฟอร์นิเจอร์ไม่ให้พัง ดังนั้น เจ้าของจึงควรฝึกให้แมวไม่ให้ข่วนเฟอร์นิเจอร์ตั้งแต่เล็กๆ โดยสามารถฝึกได้ตามวิธี ดังนี้
-
ป้องกันโดยใช้กลิ่นที่แมวไม่ชอบ
แมวไม่ชอบกลิ่นของผลไม้รสเปรี้ยว เจ้าของสามารถนำเปลือกส้ม มะนาว หรือมะกรูดมาวางไว้บนเฟอร์นิเจอร์ หรือบริเวณรอบๆ เมื่อแมวได้กลิ่นแล้วก็จะเดินไปที่อื่นเองโดยอัตโนมัติ
-
ฝึกแมวให้ใช้ที่ฝนเล็บ
การฝึกให้แมวใช้ที่ฝนเล็บ อย่างเสาลับเล็บแมว แผ่นลับเล็บแมว หรือพรมแมว ที่สามารถเป็นฐานในการฝนเล็บได้ เมื่อเจ้าของเห็นว่าแมวจะข่วนเฟอร์นิเจอร์เมื่อไร ให้รีบอุ้มแมวไปวางไว้ที่ฝนเล็บ แต่ถ้าหากแมวไม่สนใจที่ฝนเล็บ ให้เจ้าของซื้อใบหรือผงแคทนิป (กัญชาแมว) โรยไว้ที่ที่ฝนเล็บ เพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจจากแมวได้
ถ้าหากใครกำลังตัดสินใจก้าวเข้าสู่การเป็นทาสแมว ควรเตรียมพร้อมทั้งกาย และใจ เพราะการเลี้ยงแมวในบ้านพร้อมกับฝึกแมวให้ฉลาด และเลี้ยงง่ายนั้น บางครั้งแมวอาจจะไม่ได้ให้ความร่วมมือทุกครั้ง หรือฝึกครั้งเดียวแล้วได้ดั่งที่ใจเจ้าของต้องการ เพราะแมวแต่ละตัวมีนิสัยแตกต่างกัน ดังนั้นเจ้าของจึงควรใจเย็นๆ และให้เวลาแมวในการเรียนรู้ ไม่เผลอดุ หรือใส่อารมณ์กับแมว ซึ่งอาจทำให้แมวหวาดกลัว และทำให้การฝึกครั้งต่อไปยากมากขึ้น หรือแมวอาจจะไม่เชื่อฟังอีกเลย