LIVING SERIES
  • Witty Living

10 ผักสวนครัว ปลูกง่ายใช้ที่น้อย พร้อมเคล็ดลับให้ได้ผลผลิตดี

แนะนำ 10 ผักสวนครัว ปลูกง่าย ใช้พื้นที่น้อย พร้อมเคล็ดลับให้ได้ผลผลิตดี ปลูกเองที่บ้านได้ง่าย ๆ เซฟงบ สะอาด ปลอดภัยแบบไร้สารเคมี

AP THAILAND

AP THAILAND

ผักสวนครัวปลูกง่ายในบ้าน

MAIN POINT

 

  • ผักสวนครัวปลูกง่ายในบ้าน อย่าง กะเพรา โหระพา พริก สะระแหน่ ข่า ตะไคร้ นอกจากจะมีสรรพคุณมากมายและสามารถนำมาปรุงเมนูอาหารสุดโปรดได้แล้ว ยังสามารถพิ่มความสวยงามและพื้นที่สีเขียวในบ้านได้อีกด้วย
  • การปลูกผักสวนครัวใช้พื้นที่ไม่มาก แต่ต้องหมั่นดูแลเอาใจใส่สม่ำเสมอ เพื่อให้พืชผลเจริญเติบโตได้สมบูรณ์ ทั้งการเลือกดินที่เหมาะสม การรดน้ำ การตัดแต่งกิ่ง ล้วนเป็นขั้นตอนสำคัญที่ที่จะทำให้พืชผักสวนครัวแข็งแรง มีความสวยงาม และออกผลผลิตได้ดี

 

 

รวม 10 ผักสวนครัว ปลูกง่ายใช้พื้นที่น้อย แถมสวยราวไม้ประดับ

 

 

การปลูกผักสวนครัวที่บ้านไม่เพียงแต่ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ แต่เรายังได้รับประทานผักที่ปลอดสารเคมี แถมยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมสุขภาพใจและสร้างความสุขเล็ก ๆ ในแต่ละวัน ซึ่งใครที่กำลังมองหาผักสวนครัวมาปลูกที่บ้าน แต่มีพื้นที่ไม่มาก ก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะ  AP Thai  ได้รวบรวม 10 ผักสวนครัว ปลูกง่ายใช้ที่น้อย พร้อมเคล็ดลับให้ได้ผลผลิตดี ผักสด อร่อย กินได้ทั้งครอบครัว หรือจะแบ่งปันให้เพื่อนบ้านก็ยังได้ มาฝากกัน

รวม 10 ผักสวนครัว ปลูกง่ายใช้พื้นที่น้อย แถมสวยราวไม้ประดับ

1. กะเพรา

กะเพรา

ปลูกผักสวนครัวแบบง่าย ๆ แถมใช้ทำเมนูอาหารยอดฮิตอย่างใบกะเพรา พืชผักสวนครัวที่มีกลิ่นหอม รสจัดจ้าน และยังมีประโยชน์มากมาย สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายชนิด เช่น ผัดกะเพรา ผัดฉ่า ถือเป็นผักสวนครัวอันดับแรกที่ต้องมีติดบ้าน เวลาคิดอะไรไม่ออก เมนูที่ใช้ใบกะเพรานี่แหละถือว่าครบจบที่สุดเลยจริง ๆ

สรรพคุณของกะเพรา

  • ช่วยในเรื่องระบบทางเดินอาหาร แก้อาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ 
  • ช่วยลดไข้ บรรเทาอาการหวัด ไอ เจ็บคอ 
  • ช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ลดการอักเสบ และทำให้ผ่อนคลาย

วิธีการปลูกกะเพรา

  • ปลูกได้ทั้งในกระถางและในดิน จะใช้เมล็ดหรือปักชำในการปลูกก็ได้ แต่ถ้าเลือกปักชำกิ่งจะได้ผลผลิตที่เร็วกว่า
  • ควรเลือกใช้ดินแบบร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี และหมั่นรดน้ำให้ชุ่มชื้นสม่ำเสมอ วันละ 1-2 ครั้ง 
  • ต้องปลูกในที่ที่ได้รับแสงแดดเต็มวัน เพราะกะเพราชอบแสงแดดจัด ๆ เมื่อปลูกไว้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ กิ่งของกะเพราจะเริ่มออกราก และใบออกมา

วิธีการดูแลกะเพรา 

  • ปุ๋ย: เพิ่มธาตุอาหารให้พืชด้วยการใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเดือนละ 1 ครั้ง
  • น้ำ: รดน้ำให้ดินชุ่มชื้นสม่ำเสมอ แต่ระวังอย่าให้แฉะเกินไป
  • แสงแดด: ควรปลูกในที่แดดจัด 
  • ตัดแต่งกิ่ง: หมั่นคอยตัดแต่งกิ่งที่แห้งตายหรือใบเหลืองออก เพื่อให้ต้นกะเพราสมบูรณ์ รูปทรงงาม แตกใบใหม่ออกมาได้อย่างดี

การเก็บเกี่ยวกะเพรา

  • สามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดทั้งปี โดยให้สังเกตว่าเมื่อใบมีขนาดใหญ่ สีเขียวเข้ม และมีกลิ่นหอม ก็สามารถตัดมาใช้ได้เลย 
  • แนะนำให้ตัดทั้งยอดแทนการเด็ดใบ เพื่อกระตุ้นให้ต้นกะเพราแตกยอด ออกใบใหม่ที่สวยงาม
  • หากเก็บยอดกะเพราไม่ทันได้ใช้ ต้องหมั่นตัดยอดทิ้งทุกสัปดาห์ เพื่อไม่ให้ยอดแก่ ผลิดอก จนต้นโทรมนั่นเอง

2. โหระพา

โหระพา

โหระพาผักสวนครัวที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รสชาติจัดจ้าน นิยมนำมาปรุงอาหารไทยได้หลายอย่างเช่นกัน เช่น ผัดพริกแกง ผัดหอยลาย ผัดขี้เมา อีกหนึ่งผักสวนครัวที่นิยมปลูกในบ้าน เพื่อเพิ่มความหอมอร่อยให้เมนูอาหาร และนอกจากรสชาติอาหารที่อร่อยแล้ว โหระพายังมีสรรพคุณทางยาที่น่าสนใจอีกมากมายด้วย

สรรพคุณของโหระพา

  • ช่วยย่อยอาหาร ขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ทำให้เจริญอาหาร
  • ช่วยรักษาอาการหวัด ปวดศีรษะ 
  • ช่วยรักษาแผลฟกช้ำ ที่เกิดจากการหกล้ม หรือกระแทก
  • ช่วยแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย งูกัด แมลงสัตว์กัดต่อย กลากเกลื้อน 

วิธีการปลูกโหระพา

  • ให้เลือกดินที่อุดมสมบูรณ์ มีความร่วนซุย และระบายน้ำให้ดีพิเศษ 
  • เน้นการปักชำจะได้ผลผลิตที่เร็ว โดยให้ปลูกต้นกล้าโหระพาลงในดิน เว้นระยะห่างระหว่างต้น 20-30 เซนติเมตร 
  • รดน้ำให้ชุ่มวันละ 1-2 ครั้ง และควรปลูกในที่ที่มีแสงแดดอ่อน ๆ  เพราะโหระพาไม่ชอบแสงแดดจัด แต่ชอบแสงแดดแบบรำไรมากกว่า

วิธีการดูแลโหระพา

  • ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้แก่พืช หรือจะใช้ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น 15-15-15 ได้ แต่ควรใช้ให้น้อยและระวังอย่าให้โดนใบ
  • น้ำ: รดน้ำที่โคนต้น ไม่ควรฉีดน้ำใส่ใบโดยตรง วันละ 1-2 ครั้ง ระวังอย่าให้น้ำขัง
  • แสงแดด: ปลูกในที่แสงแดดรำไร ประมาณ 4-6 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ควรโดนแดดจัดเกินไป เพราะใบจะเหลืองและเหี่ยวได้
  • ตัดแต่งกิ่ง: ตัดแต่งกิ่งส่วนที่แห้งตาย ใบเหลืองหรือยอดที่ยาวเกินออกไป โดยทำเป็นประจำ จะช่วยให้ต้นโหระพาแตกกิ่งก้านสาขาและมีใบที่ดก

การเก็บเกี่ยวโหระพา

  • สามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดทั้งปี โดยให้เก็บเกี่ยวหลังจากปลูก 30-35 วัน 
  • เก็บมาใช้ได้เมื่อใบมีขนาดใหญ่ สีเขียวเข้ม และมีกลิ่นหอม ก็จะเด็ดใบมาใช้เลยหรือตัดมาใช้ทั้งยอดก็ได้เช่นกัน

3. สะระแหน่

สะระแหน่

สะระแหน่ผักสวนครัวที่ปลูกง่าย เป็นพืชสมุนไพรตระกูลเดียวกับกะเพราที่ใช้ได้ทั้งใบ มาพร้อมกลิ่มหอมชื่นใจ ใช้พื้นที่ในการปลูกไม่มาก ตอบโจทย์สมุนไพรที่ต้องมีติดบ้าน เพราะมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย ช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ ได้ หรือจะใช้ในการปรุงอาหาร เช่น ชาสมุนไพร ผลไม้ดอง ลาบ สลัด หรือจะนำไปทำเป็นน้ำมันหอมระเหยได้อีกด้วย

สรรพคุณของสะระแหน่

  • ช่วยแก้อาการคลื่นไส้ วิงเวียนศรีษะ
  • ช่วยแก้อาการปวดหัว ผ่อนคลายความเครียด
  • ช่วยลดอาการอักเสบของเยื่อบุจมูก
  • ช่วยบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก
  • ช่วยบรรเทาอาการปวดแสบจากแมลงสัตว์กัดต่อย
  • ช่วยขับลม ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี
  • ช่วยบรรเทาอาการคันตามผิวหนัง แก้อักเสบ ระคายเคือง

วิธีการปลูกสะระแหน่

  • ควรเลือกกิ่งที่ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป ปลูกโดยวิธีการปักชำบนดินที่ร่วนซุย สมบูรณ์ และระบายน้ำดี 
  • คอยรดน้ำให้ชุ่มชื้น และไม่อยู่ในที่แดดจัดเกินไป

วิธีการดูแลสะระแหน่

  • ปุ๋ย: เพิ่มธาตุอาหารเดือนละ 1 ครั้ง ด้วยการใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก
  • น้ำ: รดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง โดยสังเกตความชื้นของดิน ถ้าดินแห้งก็รดน้ำได้เลย
  • แสงแดด: ดูทิศทางการปลูก ให้อยู่ในที่แสงแดดรำไร ไม่ควรโดนแดดจัดเกินไป
  • ตัดแต่งกิ่ง: ใช้กรรไกรคม ๆ ตัดแต่งกิ่งให้บ่อย เพื่อให้แตกกิ่งก้านสาขา และใบดก

การเก็บเกี่ยวสะระแหน่

  • ให้เลือกใบที่สมบูรณ์ สีเขียวเข้ม และไม่มีรอยโรคหรือแมลงกัดกิน
  • ใช้กรรไกรคม ๆ ตัดตรงกิ่งที่ต้องการ โดยตัดเหนือข้อใบเล็กน้อย เพื่อให้ต้นแตกกิ่งใหม่ได้ดี
  • ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยว คือ ตอนเช้าที่น้ำมันหอมระเหยในใบสะระแหน่มีปริมาณมากที่สุด ทำให้ใบมีกลิ่นหอมชื่นใจที่สุด
  • ควรเก็บเกี่ยวใบสะระแหน่ก่อนที่ดอกจะบาน เพราะเมื่อดอกบานกลิ่นหอมของใบจะลดลง

4. ผักชี

ผักชี

อีกหนึ่งผักสวนครัวที่ขาดไม่ได้ในครัวไทยและต้องปลูกติดบ้านไว้ ด้วยกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่นิยมขึ้นชื่อ ยืนหนึ่งในเมนูอาหารไทยที่ต้องโรยหน้าด้วยผักชี แถมใบและรากนั้นยังมีสรรพคุณทางยาและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย

สรรพคุณของผักชี

  • ช่วยบำรุงด้านสายตา ด้วยวิตามินเอสูง ที่จำเป็นต่อดวงตา
  • ช่วยป้องกันมะเร็ง โรคร้ายที่กวนใจ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
  • ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ปรับระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดี
  • ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • ช่วยควบคุมและลดระดับน้ำตาลในเลือด 
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณ ให้มีความชุ่มชื้น และเสริมสร้างคอลลาเจน

วิธีการปลูกผักชี

  • สามารถปลูกได้ทั้งในดินและในกระถาง โดยให้เลือกใช้ดินร่วนซุย ระบายน้ำดี
  • เตรียมแช่เมล็ดในน้ำอุ่น 6-8 ชั่วโมง ก่อนหว่านเมล็ดลงในดินที่เตรียมไว้ เพื่อเร่งการงอก ออกผลผลิต 
  • ควรรดน้ำสม่ำเสมอ และปลูกในที่แดดไม่จัด

วิธีการดูแลผักชี

  • ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อเพิ่มธาตุอาหาร
  • น้ำ: รดน้ำสม่ำเสมอ วันละ 1-2 ครั้ง ระวังอย่าให้แฉะมากไป
  • แสงแดด: ปลูกในที่ที่ได้รับแสงแดดรำไร ไม่ให้โดนแดดจัด 
  • ตัดแต่งกิ่ง: เมื่อผักชีโตเต็มที่ ให้เด็ดใบมาใช้ได้เรื่อย ๆ ตัดแต่งกิ่งที่แห้งตายหรือใบเหลืองออกเป็นประจำ

การเก็บเกี่ยวผักชี

  • สามารถเก็บเกี่ยวได้หลังจากปลูกประมาณ 30-60 วัน โดยเก็บเกี่ยวในช่วงเช้าตรู่ ที่ความชื้นในอากาศสูง ทำให้ใบผักชีสดชื่นและมีน้ำหนัก 
  • ให้สังเกตขนาดของต้นและใบที่สมบูรณ์ แล้วเด็ดใบมาใช้ได้เลย หรือต้องการดึงทั้งต้นขึ้นมาก็ได้เช่นกัน

5. ผักชีฝรั่ง

ผักชีฝรั่ง

ผักสวนครัวปลูกง่ายที่อยากแนะนำ คือ ผักชีฝรั่ง ที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว จึงเหมาะกับการนำมาเนรมิตเมนูอาหาร อย่าง ต้มแซ่บ ต้มยำ แถมมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย

สรรพคุณของผักชีฝรั่ง

  • ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย ต่อต้านอนุมูลอิสระ
  • ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
  • ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง รักษาสมดุลร่างกาย
  • ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ และแก้อาหารเป็นพิษ
  • ช่วยลดอาการปวดเมื่อยตามร่างกายต่าง ๆ
  • ช่วยแก้อาการไข้ ขับเหงื่อ และขับปัสสาวะ
  • ช่วยลดอาการท้องอืด ลดแก๊สในกระเพาะอาหารและลำไส้

วิธีการปลูกผักชีฝรั่ง 

  • ผักชีฝรั่งชอบดินที่ร่วนซุย ระบายน้ำดี และแสงแดดที่รำไร ก่อนปลูกต้องปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกก่อน
  • สามารถปลูกด้วยการเพาะเมล็ด หว่านลงในดิน หรือตัดกิ่งผักชีฝรั่งที่มีรากเล็กน้อย มาปักลงในดินชื้น แล้วรดน้ำให้ชุ่มชื้นก็ได้เช่นกัน

วิธีการดูแลผักชีฝรั่ง

  • ปุ๋ย: เลือกใช้ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูง เช่น ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือปุ๋ยคอกหมักสุก และใส่ปุ๋ยรอบ ๆ โคนต้นประมาณเดือนละ 1 ครั้ง
  • น้ำ: ผักชีฝรั่งชอบความชื้น แต่ไม่ชอบน้ำขัง ควรรดน้ำ 1-2 ครั้งต่อวันให้ดินชุ่มชื้นเสมอ
  • แสงแดด: ควรปลูกในที่ที่มีแสงแดดรำไร หรือมีหลังคาบังแดด 
  • ตัดแต่งกิ่ง: ตัดแต่งกิ่งเป็นประจำทุก 2-3 สัปดาห์ เพื่อให้ต้นแตกกิ่งก้าน และใบดก

การเก็บเกี่ยวผักชีฝรั่ง

  • สามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดเวลา หลังจากปลูกประมาณ 30-60 วัน 
  • ให้เก็บเกี่ยวเมื่อต้นผักชีฝรั่งมีใบสมบูรณ์ โดยจะเด็ดใบที่ต้องการใช้ หรือตัดทั้งกิ่งก็ได้

6. ข่า

ข่า

ข่า อีกพืชผักสวนครัวที่ปลูกง่าย มาพร้อมกลิ่นฉุน รสชาติที่เผ็ดร้อน ด้วยรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ จึงเหมาะแก่การปรุงอาหารไทยหลายชนิด อาทิ ต้มข่าไก่ ต้มยำ แกงเขียวหวาน ที่พอใส่ลงไปแล้วเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมเฉพาะตัวให้กับอาหารได้ดี และข่ายังมีสรรพคุณทางยาที่น่าสนใจอีกด้วย

สรรพคุณของข่า

  • ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามข้อต่าง ๆ ปวดกล้ามเนื้อ และปวดหัว
  • ช่วยแก้โรคกลากเกลื้อน ผิวหนังต่าง ๆ
  • ช่วยลดการอักเสบ การบวม ด้วยฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ 
  • ช่วยแก้อาการปวดท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน 
  • ช่วยให้กระเพาะ สามารถย่อยอาหารได้ดีขึ้น 
  • ช่วยลดอาการหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล เจ็บคอ
  • ช่วยป้องกันความเสี่ยงโรคมะเร็ง

วิธีปลูกข่า

  • เริ่มจากการเตรียมดินที่ร่วนซุย และระบายน้ำได้ดี พร้อมเลือกหน่อข่าที่สมบูรณ์ มีหลายตา 
  • ขุดหลุมลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร และวางหน่อข่าลงในหลุม กลบดินให้แน่น รดน้ำให้ชุ่มชื้น
  • ต้องปลูกในระยะห่างกันประมาณ 50 เซนติเมตร เพื่อให้ต้นข่ามีพื้นที่ว่างในการเจริญเติบโตอย่างสวยงาม

วิธีการดูแลข่า

  • ปุ๋ย: หมั่นคอยเติมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักให้กับข่าเดือนละครั้ง
  • น้ำ: รดน้ำให้ดินพอชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ แต่ระวังอย่าให้แฉะ
  • แสงแดด: ข่าชอบแสงแดดรำไร และต้องปลูกในพื้นที่ที่แดดส่องถึง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
  • ตัดแต่งกิ่ง: ตัดกิ่งที่แห้งตาย ใบเหลือง ใบที่เป็นโรคออก รวมทั้งกิ่งที่อยู่ด้านในพุ่มออกให้หมด เพื่อให้ข่าเจริญเติบโตดี และได้หน่ออ่อนที่สวย

การเก็บเกี่ยวข่า

  • สามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดทั้งปี 
  • หากต้องการข่าอ่อน ให้เริ่มเก็บเกี่ยวหลังจากปลูกประมาณ 8 เดือน 
  • หากต้องการข่าแก่ ให้เก็บเกี่ยวหลังจากปลูกประมาณ 1 ปี

7. ตะไคร้

ตะไคร้

ตะไคร้ พืชผักสวนครัวที่มีกลิ่มหอมสดชื่น ใช้เป็นเครื่องเทศหรือส่วนประกอบสำคัญในการปรุงอาหารให้อร่อยได้หลายเมนู และยังนิยมนำไปใช้ในการทำกลิ่นหอมระเหยไล่ยุง แมลงต่าง ๆ ไว้ตามบ้าน รวมทั้งใช้เป็นส่วนผสมในยาสมุนไพร เพื่อรักษาโรคต่าง ๆ ได้อีกด้วย

สรรพคุณของตะไคร้

  • ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ลดการแน่นจุกเสียด
  • ช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น
  • ช่วยลดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และเจ็บคอ
  • ช่วยไล่ยุง แมลงสัตว์รบกวน
  • ช่วยลดอาการบวม อาการอักเสบต่าง ๆ
  • ช่วยลดความดันโลหิต อาการไข้ต่าง ๆ
  • ช่วยแก้นิ่ว โรคทางเดินปัสสาวะ 
  • ช่วยแก้ผมแตกปลาย ขับเหงื่อ
  • ช่วยแก้อาการเบื่ออาหาร ทำให้เจริญอาหาร 

วิธีปลูกตะไคร้

  • ต้องใช้ดินร่วนซุย ระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูง ก่อนปลูกควรไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 30-40 เซนติเมตร และใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อปรับปรุงดิน
  • เลือกหน่อตะไคร้ที่สมบูรณ์ มีตาหลายตา และไม่มีโรคแมลง ปักลงในหลุมที่เตรียมไว้ โดยให้ส่วนที่เป็นตาชี้ขึ้นบน กลบดินให้แน่น รดน้ำให้ชุ่มชื้น 
  • ควรปลูกตะไคร้ให้มีระยะห่าง 50 เซนติเมตร เพื่อให้เจริญเติบโตสะดวก และสวยงาม

วิธีการดูแลตะไคร้

  • ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักรอบโคนต้นตะไคร้ เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน
  • น้ำ: รดน้ำที่โคนต้น ไม่ควรฉีดน้ำใส่ใบ เพราะอาจทำให้ใบเน่าได้ ควรรดน้ำให้ดินชุ่มอยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน แต่ระวังไม่ให้น้ำขัง
  • แสงแดด: ปลูกในที่แสงแดดรำไร ส่องถึงประมาณ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน หากได้รับแสงแดดจัดเกินไป ใบตะไคร้อาจเหลืองและไหม้ได้
  • ตัดแต่งกิ่ง: การตัดแต่งกิ่งที่ตาย ใบเหลืองออก ช่วยให้ตะไคร้แตกยอดใหม่ได้ดีขึ้น ควรตัดแต่งกิ่งในช่วงเช้าหรือช่วงเย็น เพื่อลดการสูญเสียน้ำ

การเก็บเกี่ยวตะไคร้

  • การเก็บเกี่ยวตะไคร้ให้ได้คุณภาพดี ต้องเริ่มเก็บเกี่ยวหลังจากปลูกประมาณ 8-10 เดือน 
  • ให้ขุดเอาเหง้าตะไคร้ขึ้นมาล้างให้สะอาด ตัดส่วนที่เน่าเสียออก แล้วนำไปใช้หรือเก็บไว้ในตู้เย็น

8. พริก

พริก

ผักสวนครัวที่ปลูกง่าย แถมถูกปากใครหลายคนที่ชอบรสจัดจ้าน ต้องยกให้พริกเลย ราชินีแห่งเครื่องเทศ ที่มีความสำคัญในวงการอาหารทั่วโลก ด้วยรสชาติเผ็ดร้อนที่เป็นเอกลักษณ์ จึงทำให้เกือบทุกเมนูอาหารไทยต้องใส่พริก เพื่อเพิ่มความอร่อยจัดเต็ม ยิ่งถ้าได้ปลูกพริกเอง ก็จะได้พริกที่สดใหม่ สะอาด ปราศจากสารเคมี นอกจากนี้พริกยังมีสรรพคุณทางยาที่น่าสนใจอีกมากมายด้วย

สรรพคุณของพริก

  • ช่วยลดน้ำหนัก เบิร์นไขมันส่วนเกิน
  • ช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร ให้เจริญอาหาร
  • ช่วยเสริมภูมิต้านทาน ลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง
  • ช่วยลดความดันโลหิต หลอดเลือดอุดตัน
  • ช่วยกระตุ้นระบบบการย่อยอาหารให้ดีขึ้น
  • ช่วยเพิ่มอุณหภูมิร่างกาย ทำให้ร่างกายอบอุ่น
  • ช่วยเรื่องระบบทางเดินหายใจ ทำให้หายใจคล่อง

วิธีปลูกพริก

  • เลือกพันธุ์พริกที่เหมาะกับสภาพอากาศและรสชาติตความจัดจ้านที่ต้องการ แล้วเพาะเมล็ดพริกในกระถาง
  • ให้ใช้ดินร่วนซุย ระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูง และปลูกห่างกัน 30-40 เซนติเมตร

วิธีการดูแลพริก

  • ปุ๋ย: ให้ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เดือนละ 1 ครั้ง และใส่ในช่วงที่พริกเริ่มออกดอก ติดผล เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของพริก
  • น้ำ: ควรรดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง ทั้งช่วงเช้าและช่วงเย็น เพราะพริกต้องการน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงออกดอกและติดผล รดให้พอชุ่ม แต่ไม่แฉะเกินไป เพื่อป้องกันรากเน่า
  • แสงแดด: พริกชอบแสงแดดจัดแบบเต็มที่ ควรปลูกในที่มีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
  • ตัดแต่งกิ่ง: ตัดแต่งกิ่งที่แห้ง จะช่วยให้พริกแตกยอด ออกผลใหม่ได้ดีขึ้น 

การเก็บเกี่ยวพริก

  • สามารถใช้มือเด็ดผลพริกออกจากต้นโดยตรง หรือใช้กรรไกรตัดที่ยากต่อการเด็ด แต่ต้องระวังอย่าให้กิ่งหักหรือใบเสียหาย
  • ควรเก็บเกี่ยวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้พริกออกดอกและออกผลชุดใหม่อยู่เสมอ

9. มะกรูด

มะกรูด

มะกรูด พืชผักสวนครัวที่ครบเครื่อง รู้จักกันดีในเรื่องของกลิ่นหอมเฉพาะตัว ซึ่งเกิดจากน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในใบ ผล และเปลือก ส่วนใหญ่มักนำมาใช้ในการปรุงอาหารเพื่อดับกลิ่นคาวหรือนำไปใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและผิวหนัง อีกทั้งยังใช้เป็นยาสมุนไพรในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้ด้วย

สรรพคุณของมะกรูด

  • ช่วยแก้อาการไอ ขับเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว
  • ช่วยลดอาการหน้ามือ วิงเวียนศีรษะ 
  • ช่วยขับผายลม แก้ปวดท้อง ท้องอืดเฟ้อ
  • ช่วยแก้ปัญหาเรื่องผม ทำให้ผมดำ เงา ปราศจากรังแค
  • ช่วยแก้ไข้ แก้หวัด อาการต่าง ๆ
  • ช่วยบำรุงหัวใจ ฟอกโลหิต

วิธีปลูกมะกรูด

  • ให้ปลูกโดยการเพาะเมล็ดหรือตอนกิ่ง โดยเลือกพันธุ์ที่แข็งแรง 
  • ปลูกวางห่างระยะประมาณ 5 x 5 เมตร และต้องเลือกดินที่ร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี

วิธีการดูแลมะกรูด

  • ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยปีละ 2-3 ครั้ง โดยใช้ปุ๋ยธรรมชาติช่วยปรับปรุงดินให้ร่วนซุย เพิ่มธาตุอาหารที่จำเป็น และควรใส่โดยเฉพาะในตอนที่มะกรูดออกดอก และติดผล
  • น้ำ: รดน้ำอย่างสม่ำเสมอให้พอชุ่ม แต่ไม่แฉะเกินไป ให้สังเกตดินรอบโคนต้นมะกรูด หากดินแห้งก็ควรรดน้ำได้เลย
  • แสงแดด: ปลูกในที่แสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน และต้องเป็นแสงแดดจัด ๆ
  • ตัดแต่งกิ่ง: ควรตัดแต่งกิ่งในช่วงฤดูแล้งหรือหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิต และตัดกิ่งที่แห้งตายหรือเป็นโรคออก เพื่อให้ต้นโปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวกและได้รับแสงแดดทั่วถึง

การเก็บเกี่ยวมะกรูด

  • หากต้องการเก็บเกี่ยวใบมะกรูด สามารถทำได้ตลอดเวลา 
  • หากต้องการเก็บเกี่ยวในส่วนของผลมะกรูด ให้เก็บเกี่ยวเมื่อเห็นว่าผลมะกรูดเริ่มสุก เปลือกเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แล้วจึงค่อยเก็บมาใช้

10. มะเขือเทศ

มะเขือเทศ

ผักสวนครัวที่ปลูกง่ายอย่างมะเขือเทศ ผลสีแดงที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร แถมยังมีรสชาติอร่อย ประโยชน์จัดเต็มต่อร่างกาย เพราะอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุต่าง ๆ ทั้ง วิตามินซี ไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในการช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ ได้หลายชนิด และยังใช้ปรุงอาหารได้หลายเมนูอีกด้วย

สรรพคุณของมะเขือเทศ

  • ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ และหลอดลมเลือด
  • ช่วยชะลอความแก่ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง อ่อนเยาว์
  • ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย ทำให้ย่อยอาหารได้ดีขึ้น
  • ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลภายในร่างกาย
  • ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคตา โรคต้อกระจก
  • ช่วยป้องกันมะเร็งหลากหลายชนิด 
  • ช่วยทำให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า

วิธีปลูกมะเขือเทศ

  • เลือกมะเขือเทศที่เหมาะสมกับสภาพอากาศ และใช้ดินร่วนซุย มีอินทรียวัตถุสูงในการปลูก โดยดินต้องระบายน้ำได้ดีด้วย 
  • เริ่มปลูกโดยการเพาะเมล็ดในกระถาง และเมื่อต้นกล้าแข็งแรงจึงย้ายลงแปลง โดยปลูกให้ห่างกันระยะ 50-60 เซนติเมตร
  • ไม่ควรปลูกมะเขือเทศซ้ำในแปลงเดิม ควรสลับเปลี่ยนเวียนไปปลูกพืชชนิดอื่น เพื่อป้องกันโรคและแมลง

วิธีการดูแลมะเขือเทศ

  • ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยโดยการโรยรอบโคนต้น แล้วรดน้ำตาม หรือฉีดพ่นตามใบ ถ้าใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น 15-15-15 จะทำให้ต้นกล้าแข็งแรง ถ้าใช้ปุ๋ยสูตรฟอสฟอรัส เช่น 10-30-10 จะส่งเสริมการออกดอก ติดผล และถ้าใช้ปุ๋ยสูตรโพแทสเซียม เช่น 12-12-30 จะช่วยให้ผลโตเต็มที่ รสชาติดี และพืชแข็งแรง
  • น้ำ: ควรรดน้ำให้ชุ่มถึงโคนต้นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงออกดอกและติดผล แต่ระวังอย่าให้ดินแฉะเกินไป เพราะอาจทำให้รากเน่าได้
  • แสงแดด: มะเขือเทศต้องการแสงแดด 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ควรปลูกในที่ที่แดดส่องถึง
  • ตัดแต่งกิ่ง: หมั่นตัดแต่งกิ่ง และเด็ดดอกทิ้งบ้าง เพื่อให้เจริญเติบโตอย่างแข็งแรง

การเก็บเกี่ยวมะเขือเทศ

  • ถ้าต้องการมะเขือเทศรสชาติอร่อยและลูกโต ๆ ให้เก็บเกี่ยวในช่วงเวลาที่เหมาะสม ตอนที่ผลสุกเต็มที่ โดยสังเกตเปลือกมีสีสันสดใส และลูกมีขนาดใหญ่ 
  • สามารถใช้มือเด็ดผลมะเขือเทศออกจากต้นได้เลย แต่ระวังอย่าให้กิ่งมะเขือเทศหักลงมา

 

เอพีไทยแลนด์ ช่วยเติมเต็มความหมายของชีวิต

เลือกเป็นเจ้าของโครงการบ้านจาก เอพีไทยแลนด์ เพื่อสร้างชีวิตดี ๆ บนพื้นที่ความสุขที่เราเลือกเอง ไม่ว่าจะเป็น โครงการบ้านเดี่ยวพื้นที่กว้างขวางเป็นส่วนตัว ทาวน์โฮมดีไซน์สวยหรือบ้านแฝดฟังก์ชันใหญ่ คอนโดมิเนียมทำเลติดรถไฟฟ้าเดินทางง่าย และโฮมออฟฟิศฟังก์ชันเจ๋งที่รองรับทุกธุรกิจ สามารถเลือกได้ตามต้องการ เพราะ “บ้าน” ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย

 

EMPOWER LIVING อยู่ .. เพื่อทุกความหมายของคุณ

RELATED ARTICLES