MAIN POINT
- การวางแผนเกษียณอายุเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์เงินเดือนได้ใช้ชีวิตในวัยเกษียณได้แบบสบาย ๆ เริ่มต้นวางแผนวันนี้ด้วย 5 สเต็ปง่าย ๆ ที่จะช่วยเตรียมความพร้อมด้านการออม หมดกังวลปัญหาด้านการเงินในอนาคต
- ข้อดีของการวางแผนเกษียณอายุ ทำให้เตรียมความพร้อมด้านการเงิน สร้างวินัยการออมที่ดี ไม่มีหนี้กวนใจ ดูแลตัวเองได้ ไม่เป็นภาระให้ครอบครัว และสามารถใช้ชีวิตได้ตามไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องระวัง ที่อยากให้ทุกท่านได้ศึกษา เพื่อไม่ให้การวางแผนเกษียณสะดุดลงกลางทาง
แชร์สเต็ปวางแผนเกษียณสไตล์มนุษย์เงินเดือน
- สเต็ปที่ 1 : กำหนดอายุที่จะเกษียณและระยะเวลาหลังเกษียณ
- สเต็ปที่ 2 : คำนวณรายจ่ายหลังเกษียณ
- สเต็ปที่ 3 : วางแผนออมเงินในปัจจุบัน และคำนวณเงินออมที่ต้องมีเมื่อเกษียณ
- สเต็ปที่ 4 : พิจารณาช่องทางรายได้ให้หลากหลายและคำนวณรายได้หลังเกษียณ
- สเต็ปที่ 5 : ตรวจสอบสถานการณ์เศรษฐกิจและแผนเกษียณอยู่เสมอ
- ข้อดีของการวางแผนเกษียณอายุ
- สิ่งที่ควรระวังในการวางแผนเกษียณอายุ
บั้นปลายชีวิตของมนุษย์เงินเดือนแบบเรา ก็คงอยากใช้ชีวิตหลังเกษียณแบบสบายๆ ไม่ต้องมานั่งกังวล อดห่วงเรื่องเงิน หรือการใช้ชีวิตในอนาคตให้วุ่นวาย แล้วจะดีกว่าไหม ? ถ้าเรารู้จักการวางแผน ออกแบบวาดฝันชีวิตหลังเกษียณ ให้มีความสุข สบายใจ เพื่อออกเดินทางไป สู่ชีวิตบั้นปลายที่สุขสบาย วันนี้ AP Thai ขอแชร์ 5 สเต็ปวางแผนเกษียณสไตล์มนุษย์เงินเดือน เริ่มวันนี้ สบายวันหน้า ไปดูกันเลย!
5 สเต็ป วางแผนเกษียณสไตล์มนุษย์เงินเดือน
สเต็ปที่ 1: กำหนดอายุที่จะเกษียณและระยะเวลาหลังเกษียณ
สเต็ปแรกในการวางแผนเกษียณสไตล์มนุษย์เงินเดือน ต้องเริ่มจากการกำหนดอายุที่จะเกษียณ และระยะเวลาหลังเกษียณให้ชัดเจน เพื่อที่จะวางแผนการเงินได้อย่างเหมาะสม ยิ่งเราเริ่มต้นวางแผนเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีเวลาให้เงินทำงานมากขึ้นเท่านั้น
ในการวิเคราะห์อายุขัยและเวลาหลังเกษียณของตัวเอง สามารถอาศัยข้อมูลอายุและสุขภาพของคนในครอบครัวได้ประกอบกับข้อมูลสุขภาพของเราเอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักกำหนดอายุหลังเกษียณไว้ที่ 80 ปี และจะใช้ระยะเวลาหลังเกษียณ 20 ปี แต่แนะนำว่าควรบวกเพิ่ม 5 – 10 ปีจากอายุที่คาดการไว้ เพื่อให้มีเงินสำรองไว้เพียงพอ
สเต็ปที่ 2: คำนวณรายจ่ายหลังเกษียณ
หลังจากประเมินอายุและช่วงเวลาหลังเกษียณแล้ว ก็ต้องมาคำนวณว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้นตอนการวางแผนเกษียณอายุที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่ง โดยส่วนใหญ่แล้วค่าใช้จ่ายหลังเกษียณของมนุษย์เงินเดือนจะน้อยกว่าค่าใช้จ่ายก่อนเกษียณประมาณ 30% เนื่องจากมีการตัดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องการทำงาน การเดินทาง และค่าเข้าสังคมออกไป แต่ถ้าอยากประมาณรายจ่ายหลังเกษียณรายเดือนแบบชัดเจน แนะนำให้ใช้วิธีการดังนี้
- ลิสต์รายจ่ายปัจจุบัน ทำการจดค่าใช้จ่ายทั้งหมดในแต่ละเดือน เช่น ค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า ค่าที่อยู่อาศัย ค่าเดินทาง ค่าสาธารณูปโภค ค่ารักษาพยาบาล ค่าสันทนาการ หรืออื่น ๆ
- แบ่งประเภทรายจ่าย ให้แบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็นประเภทต่าง ๆ จะได้รู้ว่าในแต่ละเดือนนั้น เราใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือหมดไปกับค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
- ประมาณการรายจ่ายหลังเกษียณ ทั้งค่าใช้จ่ายที่สามารถลดลงได้ เช่น ค่าเดินทาง ค่าเลี้ยงดูบุตร หรือรายจ่ายที่อาจเพิ่มขึ้น เช่น ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าใช้จ่ายใหม่ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในอนาคต เช่น ค่าเดินทางท่องเที่ยว ค่าเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ โดยต้องประมาณการเผื่อหรือให้ครอบคลุมการใช้ชีวิตจริง
เมื่อได้ตัวเลขที่แน่นแล้วก็มาถึงวิธีการคำนวณเงินเกษียณที่ต้องการ โดยสามารถคำนวณเบื้องต้นได้ดังนี้
- คำนวณค่าใช้จ่ายรายปีหลังเกษียณ: นำค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ประมาณไว้ มาคูณด้วย 12 จะได้เป็นค่าใช้จ่ายรายปี เช่น
หากต้องการใช้เงิน 20,000 บาท/เดือน
ค่าใช้จ่ายรายปี คือ 20,000 × 12 = 240,000 บาท/ปี - คำนวณเงินที่ต้องการสำหรับเกษียณทั้งหมด: นำค่าใช้จ่ายรายปีมาคูณด้วยจำนวนปีที่จะใช้เงินหลังเกษียณ เช่น
หากต้องการใช้จ่าย 240,000 บาท/ปี และคาดว่าจะใช้หลังเกษียณ 25 ปี
เงินที่ต้องการสำหรับเกษียณ คือ 240,000 × 25 = 6,000,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ในระบบการเงินค่าเงินจะลดลงตามอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยปีละ 3% ซึ่งสามารถคำนวณ ได้ดังนี้
- สูตรคำนวณ:
เงินที่ต้องการหลังเกษียณ = ค่าใช้จ่ายรายปี × (1+อัตราเงินเฟ้อ)จำนวนปีหลังเกษีณ - วิธีการคำนวณ:
เงินที่ต้องการหลังเกษียณ = 240,000 × (1+0.03)25 = 502,488 บาท/ปี
ดังนั้น เงินที่ต้องการหลังเกษียณปีละ 240,000 บาท เมื่อผ่านไป 25 ปี จะต้องใช้เงินเป็นปีละ 502,488 บาท ทำให้ความเป็นจริงแล้วต้องมีเงินเก็บอย่างน้อย 12,562,200 บาท ถึงจะเพียงพอในการใช้จ่ายในช่วงเวลาหลังเกษียณ 25 ปี โดยไม่ต้องหารายได้จากช่องทางอื่นเพิ่มเติม
สเต็ปที่ 3 : วางแผนออมเงินในปัจจุบัน และคำนวณเงินออมที่ต้องมีเมื่อเกษียณ
เมื่อรู้แล้วว่าต้องเตรียมเงินเท่าไหร่และวิธีการไหนบ้างที่จะหาเงินเพิ่มได้ ขั้นตอนต่อมาคือ การวางแผนการออมเพื่อเกษียณอายุ ซึ่งจะทำให้สามารถมองภาพรวมในการวางแผนเกษียณอายุของตัวเอง
ยิ่งออมเร็วก็ยิ่งเก็บเงินต่อเดือนน้อยลง เช่น หากต้องการมีเงินใช้ในช่วงเกษียณระยะเวลา 25 ปี โดยคำนวณจากเงินตั้งต้นที่ต้องการใช้ 20,000 บาท และเผื่อเงินเฟ้อไว้แล้ว จะตั้งมีเงินเก็บทั้งสิ้น 12,562,200 บาท ถ้าเริ่มเก็บเงินตอนอายุ 30 ปี จะเหลือเวลาเก็บเงิน 30 ปี (360 เดือน) ทำให้ต้องเก็บเงินเดือนละ 34,900.56 บาท แต่ถ้าออมตั้งแต่เริ่มทำงานหรืออายุ 22 ปี จะมีเวลาออมเงิน 38 ปี (456 เดือน) จะเก็บเงินเดือนละ 27,574.12 บาท
แต่หากมองกันตามความจริงการออมเงินจำนวนนี้อาจทำได้ค่อนข้างยากในกลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน ต่อให้ออมเงินสูงสุดที่ 50% ของเงินที่ได้มาตามวิธีการออมของ Rockefeller ซึ่งมหาเศรษฐีชื่อดังก็ยังยากที่จะถึงเป้าหมาย ดังนั้น แนะนำว่าให้เลือกออมเงินที่มีผลตอบแทนเพิ่มจะทำให้มีเงินออมต่อปีสูงขึ้นตามไปด้วย ตัวอย่างการออมเงินที่ให้ผลตอบแทนดี มีดังนี้
- บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง การออมเงินแบบนี้จะผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากทั่วไป อาจช่วยชดเชยเงินเฟ้อได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็อาจได้ผลตอบแทนที่น้อยเมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ แต่ก็มีความเสี่ยงน้อยที่สุด
- กองทุนที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทเอกชน ซึ่งทางหน่วยงานจะเก็บทุกเดือนอัตโนมัติ เพื่อรับเงินต้นพร้อมผลตอบแทนเวลาเกษียณอายุการทำงาน
- ประกันชีวิต เป็นการซื้อประกันกับบริษัทเพื่อรับผลตอบแทนเมื่อครบสัญญา อีกทั้งยังเป็นการประกันความเสี่ยงให้กับคนในครอบครัวด้วย เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นทางครอบครัวจะได้รับเงินชดเชยตามสัญญาของกรมธรรม์
- เงินปันผลจากการลงทุน สมัยนี้มีการลงทุนที่หลากหลาย ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ กองทุนรวม หุ้น และอนุพันธ์ โดยการลงทุนแต่ละประเภทให้ผลตอบแทนและมีระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน จึงควรศึกษาให้ดีและไม่ควรนำเงินไปลงในการลงทุนเพียงประเภทเดียว เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง โดยสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 5 ประเภทการลงทุน ที่นักลงทุนรุ่นใหม่ควรรู้
สเต็ปที่ 4: พิจารณาช่องทางรายได้ให้หลากหลายและคำนวณรายได้หลังเกษียณ
เมื่อลองคำนวณเงินที่ต้องการหลังเกษียณและเงินออมที่สามารถเก็บได้แล้ว หลายคนอาจนึกท้อแท้เมื่อเห็นยอดตัวเลข เพราะไม่รู้ว่าจะออมเงินให้ถึงหลักสิบล้านได้อย่างไร แต่ในความจริงแล้ว การวางแผนเกษียณสไตล์มนุษย์เงินเดือนสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่ช่วงที่ยังทำงานอยู่ ซึ่งการเก็บออมจากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว รวมกับเงินชดเชยการทำงาน หรือเงินรายได้ที่เกิดขึ้นหลังเกษียณแล้ว สำหรับบางคนอาจยังไม่ถึงยอดเงินที่ตั้งเป้าหมายไว้
ดังนั้นการหารายได้เสริมจากหลากหลายทางจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการเพิ่มความมั่นคงทางการเงินสำหรับมนุษย์เงินเดือน ซึ่งสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่ช่วงที่ยังทำงานอยู่และหลังเกษียณไปเกษียณไปแล้ว ซึ่งช่องทางหารายได้เพิ่มเติมที่น่าสนใจก็มีดังนี้
- งานพิเศษหรือฟรีแลนซ์ การได้ทำงานในสิ่งที่รัก มักในสิ่งที่ชอบหรือถนัด เช่น การเขียนหนังสือ การพูด การสอนพิเศษ และอื่น ๆ ถือเป็นสิ่งที่สามารถสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นได้ดีทีเดียว อีกช่องทางการทำเงิน ทำงานพิเศษที่ตอบโจทย์ แถมยังใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อีกด้วย
- ขายสินค้าหรือบริการ สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่อยากทำธุรกิจ ก็สามารถเปิดร้านขายสินค้าหรือบริการต่าง ๆ เพื่อให้มาสร้างรายได้เพิ่มขึ้นหลังเกษียณ แต่ต้องบริหารดี ๆ จัดการงบการเงินให้ลงตัว เพื่อให้ได้กำไร ใช้ชีวิตระยะยาวแบบไม่ต้องเครียด เพราะถ้าทำแบบไม่ดี ไม่มีการวางแผน แล้วธุรกิจตันไปต่อไม่ไหว ก็อาจทำให้ต้องดึงเงินที่เก็บไว้มาพยุงธุรกิจ จนผิดแผนหลังเกษียณไปได้เช่นกัน
- ให้เช่าทรัพย์สิน หากมนุษย์เงินเดือนที่มีอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน หรือคอนโดมิเนียม ก็นับว่าได้เปรียบ มีต้นทุนชีวิตที่ดีกว่าคนอื่น เพราะการให้เช่าทรัพย์สิน ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทาง ในการสร้างรายได้ที่ดีเลยทีเดียว
สเต็ปที่ 5 : ตรวจสอบสถานการณ์เศรษฐกิจและแผนเกษียณอยู่เสมอ
การวางแผนเกษียณฉบับมนุษย์เงินเดือน สเต็ปสุดท้ายที่ต้องศึกษา คือ ต้องตรวจสอบสถานการณ์เศรษฐกิจ และแผนเกษียณอยู่เสมอ เพราะเป็นส่วนสำคัญต่อความมั่นคงทางการเงินในอนาคต การวางแผนเกษียณ ไม่ใช่แค่การตั้งเป้าหมายแล้วปล่อยทิ้งไว้ แต่ต้องศึกษา เข้าใจ และปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ โดยเฉพาะถ้าต้องเผชิญกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การปรับแผนการเงิน การใช้ชีวิตจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเรื่องที่ควรศึกษา ดังนี้
- อัตราเงินเฟ้อ เพราะอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ส่งผลให้ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น ต้องศึกษาเพื่อใช้ในการปรับเพิ่มเงินออม รายได้ ให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในอนาคต
- อัตราดอกเบี้ย การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย มีผลอย่างมากกับการลงทุน และค่าตอบแทนที่จะได้รับที่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ ดังนั้น ต้องศึกษาตลอด ลงทุนให้คุ้มค่า เช่น ถ้าอัตราดอกเบี้ยลดลง ถ้าต้องเปลี่ยนจากการลงทุนเงินฝากไปเป็นการลงทุนกองทุนรวม หรือหุ้น ที่ผลตอบแทนสูงขึ้น
- ภาวะเศรษฐกิจ ภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ย่อมทำให้กระทบต่อตลาดหุ้น และการลงทุนอื่นๆ แน่นอน ต้องศึกษาให้ดี ถ้าอะไรที่ลงแล้วเสี่ยง ก็ต้องเลี่ยงให้ไวที่สุด รวมทั้งถ้าภาวะเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี ให้รีบตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และเก็บเงินไว้ให้มากสุดจะดีกว่า
- นโยบายภาษี การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษี บางทีก็อาจส่งผลต่อผลตอบแทนจากการลงทุนเช่นกัน ดังนั้น ก็เป็นสิ่งที่ควรศึกษาคงบคู่การลงทุนแบบต่างๆ
อย่าลืมตรวจสอบสถานการณ์เศรษฐกิจเป็นประจำ ไม่ว่าจะผ่านการติดตามข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ เว็บไวต์ รายการข่าว การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน เพื่อปรับเปลี่ยนเป้าหมายการออม สร้างแผนสำรองในการใชีชีวิตหลังเกษียณให้ลงตัว
ข้อดีของการวางแผนเกษียณอายุ
1. เตรียมความพร้อมด้านการเงิน
การวางแผนเกษียณ ทำให้มนุษย์เงินเดือนแบบเราหมดกังวลเรื่องเงินในอนาคต มีเงินสำรองเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหลังเกษียณ ครอบคลุมทั้งค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่คาดคิด เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าอาหาร หรือค่าเดินทาง รวมทั้งยังสามารถปรับตัวกับภาวะเศรษฐกิจต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เพราะวางแผนล่วงหน้าแล้ว จึงมีเวลาเตรียมพร้อมและปรับแผนการเงินให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทั้งปัจจุบันและในอนาคต
2. ช่วยสร้างวินัยการออมที่ดี ไม่มีหนี้กวนใจ
ในช่วงวัยทำงานถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของการสร้างเนื้อสร้างตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนวัยนี้ส่วนใหญ่จะเป็นหนี้ผ่อนบ้าน รถยนต์ และบัตรเครดิต แต่ถ้ารู้จักการวางแผนเกษียณอายุและคํานวณเงินออมล่วงหน้าอย่างมีระบบ จะช่วยเสริมสร้างวินัยการออมให้ตัวเองและสามารถจัดการเงินได้ตามแผนการที่ใจตั้งไว้ แถมยังอาจปลดหนี้ได้เร็วขึ้น พร้อมทั้งยังมีเงินออมเพิ่มขึ้นอีกด้วย เมื่อถึงวันที่เกษียณก็ไม่มีปัญหาหนี้มาตามกวนใจ
3. ดูแลตัวเองได้ ไม่เป็นภาระให้ครอบครัว
ในช่วงที่ยังทำงานอยู่หลายคนอาจจะแข็งแรงและไม่มีปัญหาสุขภาพ แต่เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณสุขภาพอาจเปลี่ยนแปลงไป การวางแผนเกษียณอายุไว้ตั้งแต่วัยทำงานจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะจะทำให้มีอิสระทางการเงิน มีเงินออมมากพอที่จะไว้ใช้ดูแลสุขภาพและดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องเป็นภาระ ไม่ต้องพึ่งพาคนในครอบครัว และอาจจะเพิ่มความสุขทางใจได้อีก เพราะมีชีวิตดีที่ลงตัวหลังเกษียณ
4. ใช้ชีวิตได้ตามไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ
ถ้าวางแผนหลังเกษียณมาดีแล้ว ก็ถึงเวลาที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเราจะโลดแล่นไปทำตามความฝันวัยเด็ก ชดเชยช่วงเวลาที่หายไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ที่ใฝ่ฝัน เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ศึกษาในสิ่งที่สนใจ หรือทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น เล่นกีฬา อ่านหนังสือ หรือทำสวน เรียกได้ว่า ใช้ชีวิตได้ตอบโจทย์ ครบตามไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเงิน
5. ยังรับความเสี่ยงได้ แก้สถานการณ์การเงินได้ทันท่วงที
การวางแผนเกษียณอายุทำให้มีเงินสำรองในอนาคต หากมีสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปหรือเกิดปัญหาทางการเงิน ยังสามารถรับความเสี่ยงได้และยังมีเวลาแก้สถานการณ์การเงินได้ทันท่วงที รวมทั้งยังสามารถนำเงินไปลงทุนธุรกิจเพิ่ม หรือหาหนทางโอกาสทางการเงินอื่น ๆ ได้อีกด้วย ยิ่งวางแผนเกษียณอายุตั้งแต่เริ่มทำงานจะยิ่งได้เปรียบ เพราะเป็นวัยที่ยังมีภาระค่าใช้จ่ายน้อยกว่าคนที่เริ่มอายุมาก
สิ่งที่ควรระวังในการวางแผนเกษียณอายุ
1. ประเมินค่าใช้จ่ายไม่สอดคล้องกับการใช้จ่ายจริงๆ
ในการประเมินค่าใช้จ่ายในช่วงแรกของการวางแผนการออมเพื่อเกษียณอายุ หลายคนอาจใช้ค่าใช้จ่ายในปัจจุบันเป็นเกณฑ์ในการคำนวณ ซึ่งอาจทำให้ลืมค่าใช้จ่ายบางส่วนไป หรือแม้แต่การวางแผนเกษียณโดยการประเมินค่าใช้จ่ายต่ำเกินไป อาจทำให้เงินออมที่วางแผนไว้ ไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตหลังเกษียณ
แนะนำให้จดบันทึกรายรับ รายจ่าย เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน พร้อมคำนวณเผื่อค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่คาดคิด เช่น ค่าซ่อมบ้าน ค่าเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ หรือค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน ถ้าเป็นไปได้บวกเพิ่มไว้ 10-20% จากความเป็นจริงเลยยิ่งดี เพื่อให้ใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างสบาย
2. ประเมินอายุหลังเกษียณน้อยเกินไป
อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องระวังในการวางแผนเกษียณอายุ คือการประเมินอายุหลังเกษียณด้วยระยะเวลาที่น้อยเกินไป จะทำให้แผนการเงินและเงินออมที่วางไว้ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายตลอดชีวิตหลังเกษียณ
โดยปกติคนส่วนใหญ่มักจะประเมินอายุหลังเกษียณไว้ที่ 20 ปี ตามค่าเฉลี่ยอายุขัยที่ประเมินไว้ที่ 80 ปี แต่อย่างที่มีการคาดการณ์ไว้ว่ามนุษย์จะมีอายุยืนยาวขึ้น ดังนั้น แนะนำว่าควรบวกอายุเกษียณเพิ่มอีก 5 – 10 ปีจากที่ตั้งใจไว้ เพื่อความปลอดภัยด้านการเงิน
3. หวังเงินบำนาญอย่างเดียว
เงินบำนาญที่จะได้รับตอนเกษียณเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้หลายคนตัดสินใจรับราชการ แต่การหวังพึ่งเงินบำนาญอย่างเดียว อาจไม่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตช่วงเกษียณได้ทั้งหมด เพราะถึงแม้จะได้เงินบำนาญทุกเดือน แต่ก็ได้เท่ากันทุกเดือน ขณะที่ค่าเงินลดลงตามอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี อาจทำให้เงินบำนาญจำนวนนี้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายเหมือนช่วงแรก ๆ ของการเกษียณ
นอกจากนี้ การหวังรายได้จากเงินบำนาญเพียงทางเดียวมักทำให้การออมเงินในช่วงวัยทำงานลดน้อยลง เพราะอาจคิดว่าจะได้รับเงินบำนาญที่เพียงพอมาเลี้ยงดูหลังเกษียณ แต่ด้วยค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวัน จึงต้องวางแผนการเงินอื่น ๆ เผื่อไว้ด้วย เช่น การลงทุนเพิ่มเติม ทำงานเสริม หรือหารายได้หลายทาง เพื่อกระจายความเสี่ยงไป ไม่ต้องหวังแค่เพียงเงินบำนาญเท่านั้น
4. ไม่ได้คิดถึงปัญหาเงินเฟ้อ
อัตราเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่ต้องระวังอย่างมากในการวางแผนการออมเพื่อเกษียณอายุ เพราะหากเราคำนวณเงินออมหากไม่นำอัตราเงินเฟ้อมาคำนวณร่วมด้วย จะได้ผลลัพธ์ที่ต่างจากการคำนวณโดยอิงอัตราเงินเฟ้อเกือบครึ่ง สุดท้ายกลายเป็นว่าเงินที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอต่อรายจ่ายในช่วงเกษียณ เพราะข้าวของขยับราคาสูงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี
ดังนั้น เพื่อให้การออมสอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ ควรเพิ่มเป้าหมายเงินออมให้สูงขึ้น พร้อมทั้งพิจารณาการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงพอจะชดเชยอัตราเงินเฟ้อในอนาคต มนุษย์เงินเดือนอย่างเราจะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องเงินยามเกษียณ
5. มีปัญหาด้านสุขภาพที่ไม่คาดคิด
การเกษียณอายุก็เหมือนกับการเข้าสู่วัยชราอย่างเต็มตัว ซึ่งปัญหาที่หลีกเลี่ยงได้ยากมากที่สุดนั้น ก็คือ ปัญหาด้านสุขภาพ แถมยังเสี่ยงกับการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าช่วงวัยอื่นอีกด้วย ในการวางแผนเกษียณอายุจึงต้องเตรียมเงินสำรองส่วนหนึ่งไว้เพื่อค่ารักษาพยาบาล ทั้งสำหรับโรคที่คาดการณ์ได้และปัญหาสุขภาพฉุกเฉิน รวมถึงภาวะติดเตียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น เพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นภาระของลูกหลาน
เนื่องจากปัญหาสุขภาพเป็นสิ่งที่เราไม่อาจควบคุมได้และอาจเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว มนุษย์เงินเดือนจึงควรเริ่มจากการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วย อีกทั้งการทำประกันสุขภาพก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดี เพราะนอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในยามเจ็บป่วยแล้ว บางแผนประกันยังสามารถช่วยสะสมเงินออมเพิ่มเติมเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย
ทั้งหมดนี้คือ 5 สเต็ปวางแผนเกษียณสไตล์มนุษย์เงินเดือน เริ่มวันนี้ สบายวันหน้า ที่ AP Thai นำมาฝากกัน หากคุณเริ่มวางแผนเกษียณสไตล์มนุษย์เงินเดือนให้เร็ว บั้นปลายชีวิตก็จะมีความสุข สบายกายใจ แบบไร้ภาระ ไม่ต้องพึ่งใครให้วุ่นวาย และถ้าหากใครอยากใช้ชีวิตที่สุขสบายแบบคุณสองเท่าตัว ก็อย่าลืมเลือกบ้านจาก AP Thai ที่จะทำให้คุณใช้ชีวิตหลังเกษียณได้สุขสบาย ท่ามกลางบรรยากาศที่ดีมากขึ้นกว่าเดิม
วางแผนทางการเงินด้วยตัวเองง่ายๆ ได้ที่นี่!
- Yield คืออะไร? ทำไมนักลงทุนมือใหม่ต้องรู้
- เคล็ดลับโปะบ้านให้หมดเร็ว 2567 เพื่อชีวิตสบายในอนาคต
- HOW TO คำนวณผ่อนบ้าน-ผ่อนคอนโด แบบครบจบ
เอพีไทยแลนด์ ช่วยเติมเต็มความหมายของชีวิต
เลือกเป็นเจ้าของโครงการบ้านจาก เอพีไทยแลนด์ เพื่อสร้างชีวิตดี ๆ บนพื้นที่ความสุขที่เราเลือกเอง ไม่ว่าจะเป็น โครงการบ้านเดี่ยวพื้นที่กว้างขวางเป็นส่วนตัว ทาวน์โฮมดีไซน์สวยหรือบ้านแฝดฟังก์ชันใหญ่ คอนโดมิเนียมทำเลติดรถไฟฟ้าเดินทางง่าย และโฮมออฟฟิศฟังก์ชันเจ๋งที่รองรับทุกธุรกิจ สามารถเลือกได้ตามต้องการ เพราะ “บ้าน” ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย
EMPOWER LIVING อยู่ .. เพื่อทุกความหมายของคุณ